โดรนเพื่อการเกษตร การเกษตรถือเป็นรากฐานที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทย โดยมีเกษตรกรเป็นกลไกหลักในการผลิตอาหารและวัตถุดิบสำคัญให้กับประเทศ อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เกษตรกรไทยต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น หรือแม้แต่แรงงานภาคเกษตรที่ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตร และคุณภาพชีวิตของเกษตรกรโดยตรง
ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างมากในการพลิกโฉมระบบการเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่ “เกษตรอัจฉริยะ” หรือ “Smart Farming” ซึ่งหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมและมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย คือ “โดรนเพื่อการเกษตร” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า Agricultural Drone โดรนไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำเกษตรมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถลดต้นทุนแรงงาน เพิ่มความแม่นยำ และช่วยให้เกษตรกรตัดสินใจได้ดีขึ้นจากข้อมูลเชิงลึก
การใช้โดรนเพื่อการเกษตรนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้โดรนเพื่อการสำรวจพื้นที่เพาะปลูก การพ่นสารเคมี หรือแม้แต่การวิเคราะห์ภาพถ่ายจากอากาศเพื่อประเมินสุขภาพของพืชแต่ละต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ช่วยให้เกษตรกรสามารถบริหารจัดการแปลงเกษตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็น ทั้งยังสามารถตอบโจทย์แนวคิด “เกษตรแม่นยำ” (Precision Agriculture) ที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
นอกจากนี้ โดรนยังช่วยแก้ไขปัญหาการเข้าถึงพื้นที่เพาะปลูกที่ยากลำบาก หรือพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ได้ เช่น แปลงนาข้าวขนาดเล็กในภาคเหนือ หรือพื้นที่ลาดชันในภาคอีสาน ซึ่งการใช้โดรนสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่าการใช้แรงงานคนหรือเครื่องจักรกลหนักแบบเดิม

การใช้โดรนเพื่อการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเกษตร โดรนเพื่อการเกษตร
เทคโนโลยีการสำรวจที่เปลี่ยนเกษตรกรให้กลายเป็นนักวิเคราะห์
ในอดีต เกษตรกรต้องเดินสำรวจแปลงปลูกด้วยตนเอง ซึ่งใช้เวลานาน เสี่ยงต่อการประเมินผิดพลาด และไม่สามารถตรวจสอบภาพรวมของแปลงเกษตรได้อย่างแม่นยำ แต่ในปัจจุบัน “โดรนเพื่อการสำรวจ” ได้เข้ามาเปลี่ยนบทบาทของเกษตรกรจากผู้ทำงานภาคสนาม มาเป็น “ผู้บริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่” อย่างเต็มตัว
โดรนสำรวจใช้กล้องถ่ายภาพความละเอียดสูง หรือกล้องมัลติสเปกตรัม (Multispectral Camera) เพื่อเก็บภาพในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพพืช ความชื้นในดิน การแพร่กระจายของศัตรูพืช หรือการประเมินผลผลิตได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
นอกจากนี้ ข้อมูลที่ได้ยังสามารถนำไปประมวลผลร่วมกับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และระบบระบุพิกัด (GPS) เพื่อสร้างแผนที่แสดงผลแบบเฉพาะจุด ช่วยให้เกษตรกรวางแผนการจัดการได้ตรงจุด และลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็น
การวิเคราะห์ภาพถ่ายจากโดรนเพื่อสุขภาพพืช
หนึ่งในความสามารถสำคัญของโดรนเพื่อการสำรวจ คือ การตรวจสอบสุขภาพพืชผ่านการวิเคราะห์ค่าดัชนีพืช เช่น NDVI (Normalized Difference Vegetation Index) ซึ่งเป็นการประเมินความเขียวชอุ่มของพืชที่เกี่ยวข้องกับระดับคลอโรฟิลล์ หากค่าดัชนีต่ำ แสดงว่าพืชกำลังประสบปัญหา เช่น ขาดน้ำ ขาดธาตุอาหาร หรือมีศัตรูพืชโจมตี
ภาพถ่ายที่ได้ยังสามารถใช้เพื่อเปรียบเทียบพัฒนาการของพืชในช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น ตั้งแต่เริ่มปลูกจนถึงช่วงเก็บเกี่ยว หรือใช้ตรวจสอบว่าแปลงใดได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หรือความแห้งแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในประเทศไทย
✅ การปลูกข้าวในภาคกลาง
เกษตรกรในจังหวัดสุพรรณบุรีใช้โดรนสำรวจเพื่อถ่ายภาพแปลงนาข้าวตลอดฤดูกาลปลูก ข้อมูลที่ได้ช่วยให้สามารถตรวจสอบการงอกของเมล็ด ความสม่ำเสมอของต้นข้าว และการกระจายของศัตรูพืชได้อย่างแม่นยำ จากเดิมที่ใช้แรงงานคนในการตรวจแปลงแบบสุ่ม ซึ่งมักทำให้วางแผนผิดพลาด การใช้โดรนทำให้สามารถลดปริมาณสารเคมีลงถึง 25% และเพิ่มผลผลิตได้ร้อยละ 12
✅ การปลูกอ้อยในภาคอีสาน
วิสาหกิจชุมชนในจังหวัดขอนแก่นได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยพัฒนาเกษตรแม่นยำ เพื่อนำโดรนสำรวจแปลงอ้อย ตรวจสอบความชื้นและปริมาณไนโตรเจนในดิน ข้อมูลเหล่านี้ช่วยวางแผนการให้น้ำและใส่ปุ๋ยอย่างแม่นยำเฉพาะพื้นที่ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันคุณภาพของอ้อยที่เก็บเกี่ยวก็ดีขึ้น ทำให้ได้ราคาสูงจากโรงงานน้ำตาล
ข้อดีของโดรนสำรวจในการเกษตร
-
ลดเวลาและแรงงาน: แทนที่จะใช้เวลาหลายวันในการเดินสำรวจแปลง สามารถใช้โดรนบินในเวลาไม่กี่นาที
-
เพิ่มความแม่นยำ: ตรวจสอบได้ละเอียดถึงระดับต้นพืช และแยกแปลงได้ชัดเจน
-
มีข้อมูลเปรียบเทียบระยะยาว: เพราะสามารถเก็บภาพแบบต่อเนื่องเป็นประจำ
-
วิเคราะห์ได้หลายมิติ: ทั้งแสงอินฟราเรด สีจริง (RGB) และค่าดัชนีพืช
-
สนับสนุนการตัดสินใจ: ข้อมูลที่ได้สามารถต่อยอดด้วยระบบ AI หรือแอปวางแผนการจัดการ
ข้อควรพิจารณาและแนวทางการส่งเสริม
แม้โดรนสำรวจจะมีศักยภาพสูง แต่เกษตรกรบางส่วนยังประสบปัญหา เช่น ขาดความรู้ด้านการใช้งาน ไม่สามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายได้ด้วยตนเอง หรือไม่มีอุปกรณ์รองรับ ดังนั้นควรมีแนวทางดังนี้
-
จัดอบรมให้เกษตรกรหรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเรื่องการใช้โดรนและแอปวิเคราะห์
-
สนับสนุนการจัดซื้อหรือให้บริการโดรนแบบร่วมใช้ (Drone Sharing)
-
ผลักดันให้เกิดศูนย์ข้อมูลและบริการด้านโดรนเกษตรในแต่ละตำบล
-
สร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่เพื่อสนับสนุนด้านเทคนิค
โดรนสำรวจถือเป็น “ดวงตาที่สาม” ของเกษตรกร ที่ช่วยให้การดูแลแปลงปลูกกลายเป็นเรื่องแม่นยำ วางแผนได้ล่วงหน้า และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในยุคเทคโนโลยี และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่การทำเกษตรอัจฉริยะในระยะยาว

การใช้โดรนเพื่อการพ่นปุ๋ย ยา และการดูแลพืช โดรนเพื่อการเกษตร
จากแรงงานคน สู่ระบบพ่นแม่นยำด้วยโดรน
การพ่นสารเคมี เช่น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง หรือสารชีวภัณฑ์ ถือเป็นหนึ่งในภารกิจหลักที่เกษตรกรต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาลเพาะปลูก โดยเฉพาะในการปลูกพืชไร่และพืชเศรษฐกิจที่มีพื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ เช่น ข้าว อ้อย ข้าวโพด หรือมันสำปะหลัง อย่างไรก็ตาม การพ่นด้วยแรงงานคนนั้นมีข้อจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความไม่แม่นยำ ใช้เวลาและแรงงานมาก รวมถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพจากการสัมผัสสารเคมีโดยตรง
ด้วยเหตุนี้ การใช้ โดรนเพื่อการพ่นสาร จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์อย่างมาก โดรนสามารถพ่นปุ๋ยและสารเคมีได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ได้สม่ำเสมอ และสามารถควบคุมปริมาณการพ่นได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ยังช่วยลดความเสี่ยงของเกษตรกรจากการสัมผัสสารเคมีโดยตรง และประหยัดต้นทุนได้อย่างเห็นผล
หลักการทำงานของโดรนพ่นสาร
โดรนพ่นสารส่วนใหญ่จะติดตั้งถังบรรจุปุ๋ยหรือยาขนาด 10-20 ลิตร และระบบหัวพ่นแบบแรงดันสูง ซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยรีโมตหรือแอปพลิเคชันจากโทรศัพท์มือถือ การบินของโดรนมีระบบ GPS ควบคุมทิศทางอย่างแม่นยำ และสามารถกำหนดเส้นทางการบิน (Flight Path) ให้ครอบคลุมแปลงปลูกแบบอัตโนมัติ
สิ่งที่โดรนพ่นสารทำได้ดีกว่าการพ่นแบบดั้งเดิม คือ การกระจายสารให้เป็นละอองละเอียดที่สม่ำเสมอ ช่วยให้พืชดูดซึมสารได้ดีขึ้น และลดการสูญเสียจากการระเหยหรือไหลลงดิน นอกจากนี้ยังสามารถปรับระดับการพ่นตามลักษณะของพืช เช่น สูงต่ำหรือระยะห่างระหว่างต้น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
ประโยชน์ของโดรนพ่นสารต่อเกษตรกร
-
ลดต้นทุนแรงงาน: เกษตรกรสามารถลดจำนวนแรงงานที่ใช้ลง และสามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้นถึง 3–5 เท่า
-
ลดปริมาณการใช้สารเคมี: เพราะสามารถควบคุมปริมาณการพ่นต่อพื้นที่ได้อย่างแม่นยำ
-
เพิ่มความปลอดภัย: ไม่ต้องสัมผัสหรือสูดดมสารเคมีโดยตรง
-
เพิ่มประสิทธิภาพการพ่น: พ่นได้ทั่วถึง แม้ในพื้นที่ลาดชันหรือยากต่อการเข้าถึง
-
เพิ่มรอบการพ่น: เกษตรกรสามารถพ่นได้บ่อยขึ้นหากจำเป็น โดยไม่ต้องรอแรงงานว่าง
ตัวอย่างความสำเร็จจากพื้นที่จริง
✅ การปลูกมันสำปะหลังในจังหวัดกาฬสินธุ์
เกษตรกรกลุ่มหนึ่งในจังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับบริษัทสตาร์ตอัปด้านเกษตรกรรม ทดลองใช้โดรนพ่นสารชีวภัณฑ์เพื่อควบคุมเพลี้ยแป้ง ซึ่งเป็นศัตรูสำคัญของมันสำปะหลัง พบว่าสามารถควบคุมศัตรูพืชได้รวดเร็ว และลดความเสียหายของผลผลิตได้กว่าร้อยละ 30 โดยใช้เวลาการพ่นลดลงจาก 2 วันเหลือเพียง 3 ชั่วโมง
✅ นาข้าวในจังหวัดสุโขทัย
กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่ในจังหวัดสุโขทัยได้นำโดรนพ่นปุ๋ยชีวภาพมาใช้ในนาข้าว โดยสามารถปรับอัตราการพ่นตามช่วงอายุของต้นข้าว ช่วยให้ข้าวเจริญเติบโตดีขึ้นและลดการใช้ปุ๋ยเกินความจำเป็น ส่งผลให้ต้นทุนลดลงกว่า 20% และผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 80 กิโลกรัม
ข้อควรระวังในการใช้โดรนพ่นสาร
ถึงแม้ว่าโดรนพ่นสารจะมีประโยชน์อย่างมาก แต่ก็ต้องใช้อย่างมีความรู้และความระมัดระวัง เช่น
-
ต้องเลือกใช้สารเคมีที่เหมาะสม และมีฉลากชัดเจน
-
ห้ามพ่นขณะมีลมแรง เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายไปยังพื้นที่ใกล้เคียง
-
ต้องได้รับการอบรมจากหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน
-
ควรมีการบำรุงรักษาโดรนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อความปลอดภัยในการบิน
แนวทางสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน
เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถเข้าถึงโดรนพ่นสารได้มากขึ้น ควรมีการสนับสนุนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
-
กองทุนสนับสนุนเครื่องมือการเกษตรแบบสมัยใหม่
-
ศูนย์บริการโดรนเกษตรในระดับตำบลหรืออำเภอ
-
การส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรให้เช่า-ใช้ร่วมกัน
-
สนับสนุนการพัฒนาแอปพลิเคชันควบคุมโดรนเป็นภาษาไทย
-
อบรมเกษตรกรรุ่นใหม่ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้โดรน
การใช้โดรนเพื่อการพ่นสาร ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าสำคัญของเกษตรไทย ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต และปกป้องสุขภาพของเกษตรกร การสนับสนุนให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีนี้อย่างทั่วถึง และมีความรู้ในการใช้อย่างถูกต้อง จะทำให้ภาคการเกษตรไทยเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคเกษตรแม่นยำอย่างแท้จริง

การใช้โดรนเพื่อการบริหารจัดการน้ำ และสิ่งแวดล้อมในแปลงเกษตร
ปัญหาน้ำกับการเกษตร: จุดเริ่มต้นของความท้าทาย
ประเทศไทยในแต่ละปีเผชิญกับทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลผลิตทางการเกษตร และยังทำให้เกษตรกรต้องแบกรับความเสี่ยงสูงจากการสูญเสียผลผลิต และต้นทุนในการฟื้นฟูพื้นที่เพาะปลูก ด้วยเหตุนี้ “การบริหารจัดการน้ำ” จึงกลายเป็นหัวใจหลักของการทำเกษตรในยุคปัจจุบัน และ โดรน ได้กลายมาเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหานี้อย่างชาญฉลาด
บทบาทของโดรนในระบบจัดการน้ำ
โดรนสามารถทำหน้าที่ในการสำรวจภูมิประเทศ วิเคราะห์ระดับความชื้นของดิน รวมถึงตรวจจับพื้นที่ที่มีน้ำขังหรือน้ำไหลไม่ทั่วถึงได้อย่างแม่นยำ การบินสำรวจด้วยกล้องมัลติสเปกตรัมช่วยให้เกษตรกรทราบได้ว่า พื้นที่ใดควรให้น้ำเพิ่ม หรือควรหยุดให้น้ำเพื่อป้องกันการรากเน่า หรือการเสียหายจากน้ำท่วม
ข้อมูลจากโดรนสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแผนการให้น้ำแบบอัตโนมัติ ร่วมกับระบบเซ็นเซอร์ดินหรือเครื่องให้น้ำอัจฉริยะ (Smart Irrigation) ซึ่งช่วยให้เกษตรกรประหยัดน้ำ และใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้งที่น้ำมีจำกัด
การประเมินความพร้อมของพื้นที่เพาะปลูก
การสำรวจแปลงเกษตรด้วยโดรนก่อนฤดูเพาะปลูก ยังสามารถช่วยวิเคราะห์ลักษณะภูมิประเทศ ระดับความสูง ความลาดเอียง หรือจุดอับน้ำในพื้นที่ เพื่อวางแผนระบบระบายน้ำ หรือกำหนดพื้นที่เพาะปลูกให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมอย่างเหมาะสม
เช่น ในพื้นที่ที่มีแนวโน้มจะท่วมขังหลังฝนตกหนัก เกษตรกรสามารถใช้โดรนประเมินและหลีกเลี่ยงการปลูกพืชที่ไม่ทนน้ำ หรือเสริมคันดินให้สูงขึ้นก่อนเริ่มปลูกพืชที่ไวต่อน้ำขัง
การควบคุมสิ่งแวดล้อมในแปลงเกษตรด้วยโดรน
นอกจากเรื่องของน้ำแล้ว โดรนยังสามารถช่วยตรวจสอบองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อม เช่น ความร้อน ฝุ่นละออง หรือการระบาดของโรคพืชจากภาพถ่ายทางอากาศ การวิเคราะห์ความแปรปรวนของพืชในแต่ละจุดของแปลงเพาะปลูก ช่วยให้เกษตรกรเข้าใจว่าปัญหาสุขภาพพืชนั้นเกิดจากปัจจัยอะไร เช่น ดินเค็ม น้ำเสีย หรือมลภาวะจากสารเคมี
ระบบนี้สามารถใช้ร่วมกับข้อมูลดาวเทียม หรือ IoT ทางการเกษตร เพื่อวางแผนระยะยาวด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างแผนที่เกษตรกรรมแบบยั่งยืน เช่น พื้นที่ที่ควรฟื้นฟูดิน หรือพื้นที่ที่ควรหยุดใช้สารเคมี
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
✅ พื้นที่ชลประทานในภาคกลาง
กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดชัยนาทใช้โดรนร่วมกับเซ็นเซอร์ตรวจวัดความชื้นในดิน เพื่อกำหนดเวลาการให้น้ำในนาข้าวแบบหมุนเวียน ทำให้สามารถประหยัดน้ำได้กว่าร้อยละ 30 และยังช่วยลดปริมาณน้ำไหลลงคลองสาธารณะในฤดูฝน ซึ่งช่วยลดปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เกษตรใกล้เคียง
✅ การปลูกพืชผักอินทรีย์ในภาคเหนือ
เกษตรกรผู้ปลูกผักอินทรีย์ในจังหวัดลำปางใช้โดรนตรวจสอบคุณภาพของดิน น้ำ และปริมาณอินทรียวัตถุในพื้นที่เพาะปลูก โดยเชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อม เพื่อควบคุมคุณภาพการผลิต และผ่านมาตรฐานผักปลอดสารพิษสำหรับส่งออก
ความท้าทายและแนวทางส่งเสริม
แม้โดรนจะมีประโยชน์ในด้านการจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม แต่เกษตรกรจำนวนมากยังขาดความรู้ในการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างเต็มศักยภาพ รวมถึงยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อหรือบำรุงรักษาค่อนข้างสูง
แนวทางการส่งเสริมจึงควรประกอบด้วย:
-
การฝึกอบรมการวิเคราะห์แผนที่การให้น้ำและสิ่งแวดล้อมจากภาพถ่ายทางอากาศ
-
สนับสนุนการตั้งศูนย์บริการวิเคราะห์ข้อมูลโดรนในแต่ละพื้นที่เกษตร
-
ให้ทุนสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยในการเข้าถึงบริการโดรน
-
พัฒนาแอปพลิเคชันแปลผลอัตโนมัติ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานจริงในพื้นที่
สรุปบทความ
ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ “โดรนเพื่อการเกษตร” ได้กลายมาเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่เปลี่ยนภาพของการทำเกษตรแบบดั้งเดิมไปอย่างสิ้นเชิง จากอดีตที่เกษตรกรต้องพึ่งแรงงานและประสบการณ์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันเกษตรกรสามารถใช้ข้อมูลจากโดรนเพื่อวิเคราะห์ วางแผน และจัดการพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ในหัวข้อแรก “การใช้โดรนเพื่อการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเกษตร” เราได้เห็นว่าการถ่ายภาพทางอากาศด้วยกล้องมัลติสเปกตรัมสามารถประเมินสุขภาพพืช วิเคราะห์ค่าดัชนีสีเขียว เช่น NDVI และตรวจสอบสภาพแวดล้อมในแปลงเกษตรได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เกษตรกรไม่จำเป็นต้องเดินตรวจแปลงเองทุกวันอีกต่อไป และสามารถใช้ข้อมูลที่ได้ในการวางแผนการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย หรือการรักษาโรคพืชเฉพาะจุดได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ต้นทุนลดลง ขณะที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ต่อมาในหัวข้อที่สอง “การใช้โดรนเพื่อการพ่นปุ๋ย ยา และการดูแลพืช” ได้แสดงให้เห็นว่า โดรนช่วยเพิ่มความสะดวก ปลอดภัย และประหยัดในการดูแลแปลงเกษตร เกษตรกรสามารถลดปริมาณการใช้แรงงาน และควบคุมปริมาณการพ่นปุ๋ยหรือสารเคมีได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพผู้ปฏิบัติงาน นอกจากนี้ การพ่นแบบละอองละเอียดยังช่วยให้สารซึมเข้าสู่พืชได้ดีขึ้น จึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของการดูแลพืชอย่างแท้จริง
ในหัวข้อที่สาม “การใช้โดรนเพื่อการบริหารจัดการน้ำ และสิ่งแวดล้อมในแปลงเกษตร” แสดงให้เห็นว่า โดรนสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ระบบน้ำ ความชื้นในดิน การระบายน้ำ และความเหมาะสมของพื้นที่ปลูกพืชแต่ละชนิดได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังสามารถตรวจสอบคุณภาพของสิ่งแวดล้อม เช่น การแพร่กระจายของสารเคมี การเสื่อมโทรมของดิน หรือแม้แต่แนวโน้มการเกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมหรือน้ำแล้ง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถใช้ร่วมกับระบบ IoT หรือ Big Data เพื่อสร้างระบบเกษตรกรรมแบบยั่งยืน
นอกจากนี้ โดรนยังมีส่วนช่วยส่งเสริมแนวทาง “เกษตรแม่นยำ” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการใช้สารเคมี และควบคุมปัจจัยการผลิตให้เหมาะสมกับความต้องการของพืชและสภาพแวดล้อมในแต่ละแปลง ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเกษตรของประเทศไทยที่มุ่งเน้นความยั่งยืน และความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรในระดับโลก
อย่างไรก็ตาม การนำโดรนมาใช้ในภาคเกษตรยังต้องการการสนับสนุนในหลายด้าน ทั้งในเรื่องของความรู้ การอบรมบุคลากร การเข้าถึงอุปกรณ์ และการพัฒนานโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ เพื่อให้เกษตรกร โดยเฉพาะรายย่อย สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้จริงและต่อเนื่อง
สุดท้ายนี้ การประยุกต์ใช้โดรนในภาคการเกษตรไม่ใช่เพียงการนำเครื่องบินไร้คนขับมาใช้งาน แต่คือการเปลี่ยนแนวคิดในการทำเกษตรให้ “ฉลาดขึ้น” และ “ยั่งยืนมากขึ้น” ผ่านการผสมผสานเทคโนโลยีกับภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างลงตัว หากประเทศไทยสามารถส่งเสริมการใช้โดรนในภาคการเกษตรอย่างจริงจัง ก็จะเป็นการเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของ “เกษตรอัจฉริยะ” ที่ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง ลดความเสี่ยง และสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับประเทศในระยะยาว